
ผู้หญิงคือเพศที่มีอวัยวะภายในค่อนข้างละเอียดอ่อน และบอบบาง ต้องดูแลเอาใจใส่ให้ดี มิฉะนั้นก็อาจเจ็บป่วย และเป็นโรคได้ ควรดูแลจุดซ่อนเร้นรักษาสุขอนามัยอย่างสม่ำเสมอ และตรวจความผิดปกติที่มีโอกาสเกิดบริเวณจุดซ่อนเร้น เพราะหากละเลยหรือดูแลไม่ดีพอ อาจทำให้เกิดปัญหาอย่างกลิ่นไม่พึงประสงค์ หรือช่องคลอดติดเชื้อได้
ซึ่งหนึ่งในปัญหาของจุดซ่อนเร้นที่พบได้บ่อยมากที่สุดนั้นก็คือเรื่องของกลิ่นนั่นเอง กลิ่นของช่องคลอด (Vaginal Odor) มักแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล ซึ่งส่วนใหญ่การเกิดกลิ่นบริเวณนี้จะเป็นเรื่องปกติ กลิ่นบริเวณอวัยวะเพศหญิงมักรู้สึกได้ชัดหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือหลังการออกกำลังกายที่เหงื่อออกมากกว่าปกติก็อาจทำให้ช่องคลอดมีกลิ่นได้ รวมถึงภาวะทางสุขภาพก็อาจส่งผลต่อกลิ่นบริเวณช่องคลอดได้เช่นกัน
สาเหตุที่ทำให้เกิดกลิ่นของช่องคลอดมากผิดปกติ
ภาวะช่องคลอดอักเสบ
เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียส่งผลให้ช่องคลอดเกิดกลิ่นเหม็นคาว โรคพยาธิในช่องคลอด หรือภาวะติดเชื้อทริโคโมแนส (Trichomoniasis) ส่งผลให้ช่องคลอดมีกลิ่นคาว และอาการตกขาวร่วม
แผลบริเวณช่องคลอด
โดยเฉพาะแผลที่เกิดจากเชื้อกามโรคเรื้อรังบริเวณขาหนีบ (Donovanosis) และแผลเริมอ่อน (Chancroid) หากภาวะติดเชื้อรุนแรงอาจทำให้เกิดอาการปวดบริเวณอวัยวะเพศร่วมด้วย
โรคมะเร็งบริเวณช่องคลอด และมะเร็งปากมดลูก (Vaginal cancer, Cervical cancer)
มักมีอาการตกขาวที่มีกลิ่นเหม็นรุนแรงร่วมด้วย หรืออาจมีเลือดออกอย่างผิดปกติจากช่องคลอดด้วย
สิ่งแปลกปลอมตกค้างบริเวณช่องคลอดนานจนทำให้เกิดอาการที่ผิดปกติ
ภาวะที่ร่างกายมีเหงื่อออกมามากผิดปกติ (Hyperhidrosis)
จึงเกิดกลิ่นตัวรุนแรง มีโอกาสพบมากในผู้หญิงที่เป็นโรคอ้วน
อาหารบางชนิด
ที่ก็อาจทำให้เกิดกลิ่นของช่องคลอด อย่างหอมหัวใหญ่ กาแฟ แอลกอฮอล์ เครื่องเทศบางชนิด
การใช้ยาบางชนิดก็อาจทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์บริเวณจุดซ่อนเร้นได้
อ้างอิง*